สวัสดีครับเพื่อนๆ สมาชิกชาว Soccersien ที่รักทุกท่าน 5555+
เมื่อประมาณ 2 สัปดาห์ก่อน ผมได้มาตั้งกระทู้ขอคำแนะนำในการเดินทางไปญี่ปุ่นจากแต่ละท่านในมู้นี้
https://www.soccersuck.com/boards/topic/2508234/4
ซึ่งก็ได้รับคำแนะนำมากมายที่เป็นประโยชน์จากหลาย ๆ ท่านจริง ๆ ขอขอบคุณทุกท่านในมู้นั้นด้วยนะครับ
เอาจริง ๆ ผมขอสารภาพเลยว่าตอนที่อ่านคำแนะนำแต่ละเม้น บางเม้นผมก็นึกภาพไม่ออกนะครับ
ว่ามันจะเป็นแบบไหน สิ่งที่แต่ละคนบอกคืออะไร คือ ภาพในหัวเกือบเป็น 0 ทั้ง ๆ ที่ก็มั่นใจว่าหาข้อมูลมาเยอะ
ทั้งจากในเน็ต ในยูทูบ ในกลุ่มเฟสบุ๊คหลาย ๆ กลุ่มแล้ว แพลนก็วางไว้หมดแล้ว แต่ก็ยังงง ๆ นิดหน่อย
แต่ก็มั่นใจในตัวเองมากนะครับ ว่าจะรอดและสนุกกับทริปนี้ที่วางแผนเองทั้งหมด
(แม้จะก็อปข้อมูลจากหลาย ๆ คนมาก็ตาม 55555+)
เพราะฉะนั้น มู้นี้จะเป็น EP 1 ไม่สิ ผมให้เป็น EP 0 ละกัน คือเริ่มจากการวางแผนทำทริป ทำแพลนเอง ถ้าคนชอบอ่านเยอะ ผมจะลงจนจบทริปเลย ยังไงขอกำลังใจในการเขียนรีวิวนี้
ตั้งแต่สิ่งแรก จนถึงลงเครื่องที่สนามบิน Chubu Centair ที่ Nagoya เลย
ซึ่งผมจะลงเป็น Series ที่มีหลาย ๆ EP นะครับ อาจจะประเดิมก่อนสัก 2-3 EP
เป็นยอดอ่าน ยอดวิว หรือคอมเม้น หรือจะแผลบให้ก็ยินดี และขอบคุณไว้ล่วงหน้านะครับ
หมายเหตุ : มู้นี้ตั้งใจเขียนรีวิว เพื่อให้หลาย ๆ ท่านที่สนใจในการท่องเที่ยวภูมิภาค Chubu และ Kansai
หรือเป็นแรงบันดาลใจ ให้คนที่ไม่เคยไป หรือเคยไปแล้ว แต่อยากไปอีก ไปท่องเที่ยวญี่ปุ่นไม่ว่าจะเมืองไหน
เดือนไหนก็ตาม ได้ออกไปลองเที่ยวดู หรืออาจะเป็นประเทศอื่นก็ได้ หรือในประเทศก็ได้ครับ
ว่าเราสามารถไปที่ไหนก็ได้ในโลกนี้ถ้าเงินเราพร้อม และใจเราอยากไป 5555
*** ถ้าข้อมูลหรืออะไรก็ตามใน Series Trip ญี่ปุ่น ของผม ผิดพลาดหรือไม่ถูกไม่ควรประการใด สามารถติชม
และก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ เอาหล่ะ เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ไปเริ่มการรีวิวกันเลยครับ Go Go…
EP 0 : การเตรียมตัว
อ่อ ลืมบอกว่าทริปนี้ผมไปกับแฟน 2 คนนะครับ ฉะนั้นแพลนและสถานที่ ที่ไป ก็จะอิงจากแฟนผมเป็นหลัก
ส่วนเรื่องการเตรียมตัว ผมต้องเริ่มเหมือนคนไม่เคยไปเที่ยวต่างประเทศเลย
เพราะว่า Passport ของผมและแฟนหมดอายุแล้ว แถมไปต่างประเทศและขึ้นเครื่องบินครั้งสุดท้ายคือเมื่อ 5-6 ปีที่แล้ว
เลยจำอะไรไม่ได้เลย
1. เนื่องจาก Passport ของผมและของแฟนหมดอายุ เพราะไม่ได้ไปเที่ยวนานมากแล้ว
ไปล่าสุดคือไปไต้หวันเมื่อ 5-6 ปีที่แล้ว ทำให้ต้องเริ่มจากการไปทำ Passport เลย
ซึ่งก็ทำไม่ยากครับ Walk in ไปตามที่ทำ Passport ตามห้างได้เลย เดี๋ยวนี้ทำผ่านเครื่อง Kiosk ได้
แถมมีพี่ ๆ จนท. คอยให้คำแนะนำด้วย ซึ่งตอนผมทำผมไปทำที่ Central Westgate คิวน้อยมาก
ไปทำเสาร์-อาทิตย์ ก่อนเดินทางประมาณ 4-5 เดือนครับ ค่าเสียหาย 5 ปี 1000 บาท 10 ปี 1500 บาท
จัดส่งไม่เกิน 3-4 วันถึงบ้านเลย หลักฐานก็แค่ 1. บัตร ปชช. 2. Passport เล่มเดิม 3. เงิน 1000-1500 บาท
อ่อ วันที่ไปทำได้กระเป๋าเดินทางไซส์ 24 นิ้ว มาคนละใบด้วยครับ ใบละ 900 บาท
2. แพลนเที่ยว : ผมให้แฟนเลือกว่าเค้าอยากไปไหนบ้าง จะได้เป็นตัวตั้งในการวางทริปทั้งหมด รวมทั้งจะได้รู้ แล้วไหน ๆ ก็มา Kyoto แล้ว แล้วผมก็เลยใส่ Osaka และ Nara ไปด้วยเลย
ว่าจะต้องจองตั๋วเครื่องบิน และจองที่พัก ช่วงไหน
สรุปคุณแฟนบอกว่า อยากไป 1.Kamikochi 2.Shirakawa-go 3.วัด Kiyomizu
แล้วก็ไปดูใบไม้เปลี่ยนสี เท่ากับว่า ผมก็เลยต้องทำรูทเป็น Takayama และ Kyoto และบังคับว่า
ต้องไปถึงก่อนวันที่ 15 พ.ย. เพราะ Kamikochi จะปิดวันที่ 16 พ.ย. ซึ่งจะไม่มีรถสาธารณะ และต้องติดต่อ จนท.
ถึงจะไปเที่ยวได้
ส่วน Gobe ผมกับแฟนขอข้ามไปก่อนเพราะคิดว่าน่าจะไม่ทันแล้วก็ไม่ได้จะไปกินเนื้อที่นั่นด้วย
สรุป แพลนผมก็ออกมาเป็น Takayama-Osaka-Kyoto-Nara ครับ
ทำให้ได้วันเดินทางคือ 13 พ.ย. 67 ส่วนจำนวนวันที่จะไป ตอนแรกกะไปแค่ 7 วัน 6 คืน
แต่เท่ากับว่าผมจะกลับมาวันอังคารที่ 19 พ.ย. แล้วต้องมาทำงาน 20-22 พ.ย.
เลยคิดว่าไปให้มันถึงวันศุกร์เลยละกัน จะได้กลับมาพัก
สรุปเลยกลายเป็น 10 วัน 9 คืน แบบที่เห็นครับ 5555
3. ตั๋วเครื่องบิน : พอได้แพลน และวันที่แล้ว ผมก็หาตั๋วเลยครับ หาจากในแอพ Agoda Travelloga Trip.com นี่แหละครับ สรุปแล้ว ได้ของการบินไทย แบบแยกไปและกลับ เพราะขาไปผมไปลงที่ Nagoya แต่ขากลับกลับที่ Osaka
ในราคารวมทุกอย่าง 22,774.17 บาท/คน
ที่ไม่จอง Air asia เพราะ Air asia ราคาตั๋วถูกกว่าก็จริง แต่ถ้าซื้อน้ำหนักเพิ่ม กลายเป็นแพงกว่าการบินไทยนิดหน่อยซะงั้น แถมเครื่อง ขนาดที่นั่ง ของการบินไทย ก็คิดว่าน่าจะใหญ่กว่า เลยได้ของการบินไทยครับ อีกเรื่องคือเวลาด้วย แต่ของการบินไทยมีไฟล์ 17.25 ทำให้ผมจะได้เที่ยววันกลับอีกอย่างน้อยครึ่งวันเลยครับ
ขาไปไม่ต่างมาก เพราะบินประมาณ เที่ยงคืนกว่า ๆ เหมือนกันแต่ขากลับ Air asia มีแต่ไฟล์ 09.55
ซึ่งการบินไทยเป็นบินตรง Full Service มีเสิร์ฟข้าว 1 มื้อ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไม่อั้น + น้ำหนักกระเป๋า คนละ 25 กก.
และ Carry On อีกคนละ 7 กก. ครับ การบินไทยเลยชนะ
4. ที่พัก : พอได้ตั๋ว ผมก็จองที่พักต่อเลย โดยแพลนของผม เริ่มจะเสร็จหมดแล้ว รู้แล้วว่าต้องไปที่ไหนบ้าง
ทำให้ผมแบ่งที่พัก ออกเป็น 4 ที่ ตามที่เที่ยว ดังนี้ ครับ
วันที่ 1-3 : นอนที่ Takayama (เที่ยวเมือง Takayama ไป Kamikochi และ Shirakawa-go)
พักที่โรงแรม Super Hida Takayama Hotel เฉลี่ยคืนละ 1,808 บาท
วันที่ 4-6 : นอนที่ Osaka (เที่ยวปราสาท Osaka วัด Katsuo-ji น้ำตก Minoh Dotonbori Umeda)
พักที่โรงแรม Plum Hotel เฉลี่ยคืนละ 2,361 บาท + Tax เมือง 200 เยน เพราะตรงวันเสาร์ครับค่าโรงแรมเลยเกินเรท
วันที่ 7-8 : นอนที่ Kyoto (เที่ยววัด Kiyomizu ศาลเจ้า Fushimi Inari ย่าน Gion Kawaramashi)
พักที่โรงแรม Hotel Tavinos เฉลี่ยคืนละ 2,782 บาท ผมให้เป็นโรงแรมที่ชอบที่สุดเลย
เพราะสวย ใกล้สถานีรถไฟ ระบบต่างๆ ของโรงแรมดีมาก แถมร้านข้าวหน้าโรงแรมถูกแถมอร่อยด้วย
วันที่ 9 : กลับมานอนที่ Osaka (Nara เก็บที่ๆ ยังอยากไป + ไปสนามบินวันที่ 10 ได้ง่าย)
กลับมาพักที่โรงแรม Plum Hotel คืนละ 1,821 บาท
ก็เหมือนเดิมครับ จองใน Agoda Travelloga Trip ดูอันไหนยังว่าง และราคาดีสุด ก็กดอันนั้น
ซึ่งเรทที่ผมตั้งไว้อยู่ที่ 1800-3000 บาท/คืน ครับ คือไม่อยากนอนถูกเกิน แต่ก็ไม่ต้องถึงกับเรียวกัง
แล้วก็ไม่ไกลสถานีรถไฟ ซึ่งโรงแรมทุกที่ที่ไปนอน อยู่ในเกณฑ์พอใจสำหรับผมหมด
ซึ่งแต่ละที่ก็จะมีข้อดี-ข้อเสีย ต่างกันไป ยังไงเดี๋ยวไปเล่าแยกในแต่ละ EP อีกทีครับ
5. เงิน : ผมกับแฟนตกลงกันไว้ที่ไม่เกิน 60,000 บาท/คน ไม่รวมค่าของ Accessories เสื้อผ้าก่อนไปนะครับ
อ่อ แนะนำว่าทำบัตร Travel Card ติดไปอย่างน้อย 1 ใบด้วยจะสะดวกมาก
กลับมาที่เรื่องงบประมาณ พอผมจองตั๋วเครื่องบินกับที่พักแล้ว ทำให้ผมเหลือเงินในการกินข้าว
ซึ่งผมทำเป็นบัตร You Trip ของกสิกร ซึ่งให้เป็นอีก 1 MVP ในทริปเลย
กดเงินที่ตู้ 7-11 ที่ญี่ปุ่นได้ไม่เสียค่าธรรมเนียม แล้วก็แลกเงินได้แบบทันทีที่อยากแลก
เรทก็ดีกว่าไปแลกที่ร้านแลกเงินด้วย อาจจะแลกเงินสดติดไปสักไม่เกิน 1-2 หมื่นเยนก็พอ
แค่พอค่ารถเข้าในเมืองก็พอ ที่เหลือไปหากดตามตู้ 7-11 เอา สบายใจด้วยครับ
เดินทางโดยรถไฟ รถบัส ช้อปปิ้งอีกคนละ 17,500 บาท/คน ผมเลยควักเงินส่วนตัว
เป็น Pocket Money เพิ่มอีก 5,000 บาท ซึ่งถ้าไม่พอยังมีอีก 5,000 บาท สำรองไว้ในบัญชี 555
6. อื่น ๆ : อื่น ๆ ในที่นี้ก็เช่น ค่าเน็ตผมเปิดเป็นโรมมิ่ง ของ True แพคเกจ 10 วัน ออสเตรเลียและเอเชีย 14+4 GB ราคารวม Vat 588 บาท เหลือใช้แน่นอนครับ หลักๆ ผมเอาไว้ เล่นเฟส ไลน์ ดู Map ส่ง-อัพ รูป หรือ คลิป บ้าง แล้วก็ ประกันการเดินทาง ผมซื้อเป็นของ ทิพยประกันภัย คนละ 275 บาท ลองๆ ไป Search หาในเน็ตได้เลย มีหลายเจ้า หลายแผน ให้เลือกตามสะดวกครับ
7. จัดกระเป๋า : อันนี้แอบพลาดตรงที่ผมกับแฟนไม่ได้ลองจัดกระเป๋า มีแต่แฟนผมที่เค้า Fitting ชุด และ หมวก รองเท้า บลาๆ อยู่คนเดียว พอเอาเข้าจริง กระเป๋าขนาด 24 นิ้ว สำหรับผมเพียงพอสำหรับ 10 วัน เพราะผมจัดเสื้อหนาวไปแค่ 2 ตัว (ใส่ติดตัว 1 เผื่อ 1) กางเกงขายาว 4 ตัว เสื้ออีก 5-6 ตัว กางเกงใน ถุงเท้าอีกพอดีวัน ชุดนอน 5 ชุด
แล้วก็พวกหัวแปลง Universal ปลั๊ก 3 ตา สายชาร์จ ขาตั้งกล้อง ของอื่นๆ
กระเป๋าผมน้ำหนักกระเป๋า 12 กิโลกว่า แบบไม่แน่น แต่ของแฟนคือแอบจัดยาก และต้องตัดออกไปส่วนหนึ่งด้วย ทำให้รู้ว่า กระเป๋า 10 วันในการไปต่างประเทศสำหรับคุณผู้หญิง
เพราะเสื้อโค้ทที่เค้าเลือกและอยากเอาไปมันฟูมาก จนต้องแบ่งมาให้ผม 2-3 ตัว
จะต้องเป็นไซส์ 28-30 นิ้ว เท่านั้น แล้วใบเดียวอาจจะไม่พอด้วย 5555
ของแฟนผมหนัก 15 โลกว่า ๆ แต่คือแน่นมาก
8. การเดินทางไปสนามบิน : ตอนแรกกะว่าจะนั่ง Taxi ไปลง ดอนเมือง ซึ่งสุดท้ายแล้วน้องสาวผมก็ขับรถมาส่งอยู่ดี เพราะน้องบอกค่า Grab แพง 5555 อีกอย่างคือ ขอยกตำแหน่ง MVP ของทริป ด้านคำแนะนำแก่ น้องสาวผมซึ่งเป็นแอร์ของการบินไทย
แล้วนั่ง Shuttle Bus ระหว่างสนามบินไป แต่จัดกระเป๋ากันไม่เสร็จสักที
สุดท้ายต้องขับรถไปจอดที่บ้านน้องสาวแถวร่มเกล้า และเรียก Grab ไปสนามบิน
จริงๆ ไม่อยากรบกวนเพราะน้องผมพึ่งคลอดลูกได้ 1-2 เดือน
แต่ก็ยกกันมาทั้งน้องสาว น้องเขย หลาน มาส่งที่สนามบิน 555
แล้วก็แฟนน้องผมซึ่งเป็นนักบินด้วย ที่ให้คำแนะนำดี ๆ แล้วก็ยังให้ยืมเสื้อกันหนาว เสื้อโค้ท
หัวแปลง Universal เครื่องม้วนผมของญี่ปุ่น บลาๆๆ รวมทั้งขับรถมาส่งถึง Terminal เลย
ขอบคุณมากนะจร๊ะ จุ๊ฟ ๆ
9. ก่อนขึ้นเครื่อง : ผมไปถึงสนามบิน 3 ทุ่มตรง ก่อนเวลาเครื่องออก 3 ชั่วโมง แต่ข้อควรระวังในการมาขึ้นเครื่อง
ก็ไม่มีอะไรมากครับเพราะ Check in Online มาก่อนแล้ว แค่มาโหลดกระเป๋ากับออกตั๋ว แถวก็ไม่ยาวมาก
ควรเช็คเที่ยวบิน หมายเลข Gate ที่บอร์ดสนามบิน และในอีเมล์ด้วย
เพราะไฟล์ทขากลับผมดีเลย์ครึ่งชั่วโมง เพราะมีคนไปผิด Gate
เนื่องจากสายการบินมีการเปลี่ยนแปลง Gate ด้วยครับ ยังไงเช็คให้ชัวร์
ทั้งบอร์ดที่สนามบินและในอีเมล์ ก็จะป้องกันการไปผิด Gate หรือตกเครื่องได้ครับ
พอเสร็จหมดแล้ว ผมก็ไปหาที่นั่งรอเข้า Gate ตรงชั้น 3 ก่อน อ่อ ผมดันลืมเอายาสีฟันมา พอ 4 ทุ่มครึ่งผมก็เดินไปเข้ากระบวนการเข้า Gate ก็ตาม Step ครับ ตรวจสัมภาระ ของเหลว อาวุธ บลาๆๆ
เลยมาซื้อที่ 7-11 ในสนามบิน ราคาแพงกว่าข้างนอกอยู่ ยังไงเตรียมให้ครบๆ หรือไปหาซื้อที่ญี่ปุ่นก็ได้ครับ
แล้วก็เดินไปนั่งรถเพื่อไปอาคาร SAT 1 แล้วก็รอหน้า Gate เพื่อรอขึ้นเครื่องครับ
10. บนเครื่อง : ที่นั่งกว้างดีครับผมสูง 179 ซม. หนัก 83 กก. ก็ถือว่าเหลือ ๆ เลย
ขาไปได้เที่ยวบิน TG 644 จากสุวรรณภูมิ ไป Nagoya เวลา 00.05 เครื่องที่ใช้เป็นแอร์บัส A350-900
แบบแถว 3-3-3 ผมนั่ง Zone C ฝั่งซ้าย แถว A58 กับ B58 หลบปีกเครื่องด้วย ติดหน้าต่างไปเลย
รู้สึกต่างกับตอนบินกับ Nok Scoot ตอนไปไต้หวันมาก อันนั้นที่นั่งแคบกว่า เครื่องเล็กกว่า ตอนขึ้นลงสั่นกว่า
ส่วนวันนี้ ตอนขึ้น-ลง ตอนบิน นิ่มจัดๆ
ว่างๆ ก็นั่งดูแมพการเดินทาง กับ ข้อมูลในเที่ยวบินไปด้วย
พึ่งรู้ว่าเค้าบินกันที่ระดับความสูงเป็นหมื่นเมตรเลย ความเร็ว 800 กม./ชม.
ขาไปมีกล้องที่ติดบนตัวเครื่องให้ดูด้วย แต่ลืมถ่ายมาครับ 555
อาหารบนเครื่องมีให้เลือกเป็นข้าวหน้าเนื้อ กับ ออมเล็ทไส้กรอกครับ รสชาติดีกินง่ายทั้งสองอย่าง
กินเสร็จก็หลับ ๆ ตื่น ๆ รู้สึกตัวก็เห็นว่ายังมืดอยู่เหลือบดูนาฬิกาเวลาไทย ตี 4 พอหันไปดูอีกที
สว่างวาบมาเลยตอนเห็นแผ่นดินญี่ปุ่นแล้ว แล้วก็ถึงสนามบินที่ Nagoya
ตอนเวลา 07.30 ที่ญี่ปุ่นพอลงเครื่องเปิดเน็ต เวลาก็อัพเดททันที ทั้งในไอโฟนและ Apple Watch
11. ออกจากสนามบิน : ด้วยความที่ไม่เคยมาสนามบินนี้ก็จะงง ๆ วิธีการหน่อย
ก็เริ่มจากการผ่าน ตม. แสกนหน้า Passport ตม. ที่นี่ไม่ถามสักคำ 5555
อ่อ ผมทำ Visit Japan ในเว็บแล้วเซฟ QR Code มาสแกน เลยผ่านเร็วมาก
ไม่ต้องไปกรอกใบใด ๆ เลย จากนั้นก็ไปรอรับกระเป๋าที่สายพาน กว่าจะมาก็ล่อไป 30 นาทีได้
ตอนที่รอ ผมทิ้งแพลนเที่ยวทั้งหมดที่เป็นกระดาษของแฟนไปชุดนึง
เพราะหนักกระเป๋าเป้ จริงๆ มีในโทรศัพท์แล้วก็กับตัวผมเองอยู่แล้ว
แต่เพื่อความชัวร์เลยปริ้นมาให้แฟนถือไว้อีก เน้น มีเยอะแล้วไม่ได้ใช้ ดีกว่าจะใช้แล้วไม่มี 5555
พอกระเป๋ามา อห (ที่ไม่ได้แปลว่าโอ้โห) กระเป๋ายุบเลย แถมมีรอยดำ รอยขูดขีดเพียบ แถมตอนมองหาก็ยาก เพราะกระเป๋าใหม่ ๆ เลย สีดำ กับสีโอลรส แบบเกลี้ยง ๆ เลย ไม่มีผ้าคลุม แล้วก็ควรทำเครื่องหมายกระเป๋าของเราให้แตกต่างจากกระเป๋าของคนอื่น จะได้มองหาง่าย ๆ
มารู้ทีหลังว่า สายการบิน น่าจะทุกที่เค้าขนสัมภาระโดยใช้วิธีโยนกระเป๋า ดีนะน้องไม่แตกกระจาย
ไม่มีสติ๊กเกอร์ ทำให้รู้ว่า คราวหน้าต้องลงทุนกับกระเป๋าเดินทางดี ๆ หน่อย
ของผมวนบนสายพานไป 2 รอบ ได้มั้ง ถึงชัวร์ว่าของตัวเอง 55555
ทีนี้ผมก็พร้อมลากกระเป๋าออกเดินทางเที่ยวญี่ปุ่นแล้วครับ ยอมรับว่าตื่นเต้นเล็กน้อย แล้วแฟนผมไม่ได้ภาษาเลย ผมเลยบอกแฟนว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เราจะไม่หงุดหงิดกัน
เพราะผมต้องเป็นคนนำเที่ยว พาเดิน พาขึ้นรถไฟ พาหาร้านกินข้าว ซื้อของฝาก ทุกอย่าง
ไม่ว่าจะหลงทาง หรือ การเที่ยวไม่เป็นไปตามแผน แล้วถ้ามีการงอนกัน ก็ต้องกลับมาคืนดีกันให้เร็วที่สุด
ทริปจะได้ไม่กร่อย ซึ่งก็ได้รับความร่วมมือจากคุณแฟนเป็นอย่างดี 555
ขอมอบอีก 1 MVP ให้คุณแฟนมา ณ ที่นี้ด้วยครับ
จบ EP 0 เรียบร้อยแล้วครับ ถ้าชอบ Series นี้ และอยากให้ลงอีกเรื่อย ๆ
ในส่วนของ EP 1 จะเป็นเรื่องราวตั้งแต่เดินทางจากสนามบิน Chubu Centair ที่ Nagoya
ไปจบ Day 1 ที่เมือง Takayama เมืองแห่งเนื้อ Hida อันลือชื่อนะครับ
ฝากเข้ามาคอมเม้น เข้ามาอ่าน เข้ามาแผลบ เป็นกำลังใจให้ผมด้วยนะครับ ขอบคุณมากครับ
Ref :
Passport : https://th.traveligo.com/stories/reasons-to-travel/thailand-passport-service-everyday
YouTrip : https://th.trip.com/moments/detail/japan-100041-120354418/